วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4

 วันที่14/09/63

    
วันนี้อาจารย์สอนและให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย

การจัดศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

ศิลปศึกษาเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กในวัยปฐมวัย เพราะประสบการณ์ทางศิลปะนั้น         ไม่เพียงส่งเสริมการริเริ่มสร้างสรรค์เท่านั้น  หากยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กในลักษณะบูรณาการ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการจัดประสบการณ์และ กิจกรรมในลักษณะนี้มีคุณค่าและเอื้อต่อเด็กมากที่สุด  ประสบการณ์ศิลปะส่งเสริมพัฒนาการและทักษะของเด็ก ดังนี้

พัฒนาการทางด้านร่างกาย : พัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก และพัฒนาประสาทสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ

พัฒนาการทางด้านสังคม : มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น  เรียนรู้จากกันและกัน (cooperative learning)  แลกเปลี่ยนและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น   การรู้จักแบ่งปัน

พัฒนาการทางด้านอารมณ์-จิตใจ : สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง  (confidence) เห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเอง (self- esteem)  การคิดดีและชื่นชมในผลงานของผู้อื่น  สร้างวินัยและความรับผิดชอบ  มีสุนทรียภาพ

พัฒนาการทางด้านสติปัญญา : มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ  รู้จักแก้ปัญหา  ทำงานแบบมีระบบ (วางแผน ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ) รู้จักคิดและชี้แจงเหตุผล  สังเกต และเปรียบเทียบ ใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุหรือประสบการณ์ในการสื่อความหมาย (ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในพัฒนาการทางด้านการคิดของเด็ก) มีทักษะทางด้านภาษา  ด้านคณิตศาสตร์  และด้านวิทยาศาสตร์

การจัดประสบการณ์ทางด้านศิลปะ

1. จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ ให้พร้อม และพอเพียงต่อความต้องการ ของนักเรียน  ในการเตรียมสถานที่นั้น  คุณครูควรจัดเนื้อที่ให้นักเรียนทำงานและเคลื่อนไหวได้สะดวก และปลอดภัย  อุปกรณ์ที่จัดให้ควรมีเพียงพอต่อนักเรียน เช่น ถ้ามีนักเรียน 5 คนที่วาดรูปด้วยสีโปสเตอร์  คุณครูควรที่จะเตรียมพู่กัน 5 อัน และจัดสี 1 ชุด ต่อนักเรียน 1-2 คน เพื่อที่เด็กจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน  และรีบเร่งทำงานเพื่อที่จะแบ่งอุปกรณ์ให้กับเพื่อนที่รออยู่  หากในห้องเรียนมีอุปกรณ์น้อย  คุณครูควรที่จะกำหนดจำนวนนักเรียนที่จะเข้าร่วมในกิจกรรม  และใช้วิธีผลัดกัน

2. กิจกรรมที่จัดควรเป็น กิจกรรมปลายเปิด  เช่น  ระบายสีด้วยสีเทียน และสีโปสเตอร์ตามอิสระ เพื่อที่นักเรียนจะได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ด้วยตนเอง  มีอิสระในการสร้างสรรค์  ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่  รู้จักที่จะเลือกและตัดสินใจ (เลือกว่าจะวาดอะไร) และเรียนรู้ที่จะสื่อความคิดตนออกมาในรูปแบบที่ตนต้องการ

3. กิจกรรมที่จัดควรมีความ เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ  (Developmental Appropriate) ในการจัดกิจกรรม คุณครูควรคำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียน กิจกรรมศิลปะควรมีความเหมาะสมต่อความ สามารถของเด็กในวัยนั้น ๆ  กิจกรรมบางอย่างถึงแม้ว่าเป็นกิจกรรมศิลปะให้เด็ก  แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับเด็กในวัยปฐมวัย เช่น การพับกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ (origami)  จัดว่าไม่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยปฐมวัย  เนื่องจากมีขั้นตอนหลายขั้นและซับซ้อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักเรียนต้องทำตามรูปแบบที่กำหนดขั้นโดยดูครูเป็น ตัวอย่าง และนักเรียนส่วนมากไม่สามารถทำทุกขั้นตอนได้ด้วยตนเอง และต้องรับ ความช่วยเหลือจากครูเกือบตลอดเวลา  ซึ่งบางทีครูกลายเป็นคนพับเสียเอง การที่นักเรียนส่วนมากต้องการความช่วย เหลือตลอดกิจกรรมนั้น แสดงให้เห็นว่า พัฒนาการของเด็กยังไม่พร้อมที่เขาจะทำงานประเภทนี้ได้

4. Process not  product  คุณครูควรเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลงาน  ระหว่างที่นักเรียนทำกิจกรรมศิลปะ  เขาได้ใช้กระบวนการการคิดต่าง ๆ  เพื่อที่จะสื่อความรู้สึกนึกคิดลงบนกระดาษ  การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน  ผลงานเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน

5. ตั้งความคาดหวังให้เข้ากับ วัยของนักเรียน  เป็นเรื่องปกติที่คุณครูจะคาดหวังในนักเรียนของตน  หากแต่ความคาดหวังที่ตั้งขึ้นนั้น  ควรมีความเหมาะสมกับวัย  เช่น  เด็กวัย 3 ปี ยังเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มสนใจและเรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์เครื่องเขียน ต่าง ๆ   กล้ามเนื้อมือนั้นยังไม่    แข็งแรงพอ  ที่จะบังคับทิศทางของอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำ การที่คุณครูคาดหวังให้เด็กในวัยนี้  ระบายสีโดยไม่ออกนอกเส้น  หรือวาดรูปเป็นรูปร่างเจาะจงนั้น  คุณครูสร้างความคาดหมายที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กในวัยนั้น  ดังนั้นในการที่ครูจะรู้ว่าจะจัดกิจกรรมอย่างไรให้เหมาะสม   ครูต้องมีความเข้าใจและความรู้เรื่องพัฒนาการของผู้เรียนของตน  และมีความรู้เรื่องการจัดกิจกรรมศิลปะ เพื่อที่จะตั้งเป้าหมายและความหวังให้เข้ากับผู้เรียน

6. ให้ความสนใจและคุณค่าต่อ กระบวนการทำงานและผลงานของนักเรียน  ซึ่งทำได้โดย พูดคุยกับนักเรียน  และมีการนำเสนอผลงาน  การที่คุณครูนำเสนอผลงานของนักเรียน  โดยการติดไว้ในที่บอร์ดในห้อง บ่งบอกให้นักเรียนรับรู้ว่า  งานของเขามีคุณค่า  ซึ่งจะทำให้เขาจะรู้สึกชื่นชมและภูมิใจในความสามารถของตน  การพูดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของครูที่มีต่อการทำงานของ นักเรียน  ซึ่งเฌอเม็คเคอร์ (1986) แนะนำว่าในการสนทนากับเด็ก คุณครูควรให้เด็กพูดและแสดงความคิดเห็นของตนโดยที่ครูไม่ควรที่จะเปรียบ เทียบ หรือแก้ไขผลงานของเด็ก และแนะนำว่า  เวลาพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับงานศิลปะ  ครูควรพูดถึงวิธีการใช้อุปกรณ์  และการใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (elements of art) ในการวาดภาพ เช่น การใช้สี วิธีการวาดลายเส้น รูปทรง การจัดวางช่องว่างและใช้เนื้อที่ (space) เป็นต้น  (Schirrmacher, 1986) ตัวอย่าง เช่น “ในภาพนี้ คุณครูสังเกตว่า  มีเส้นหลายชนิด มีเส้นตรงข้างบน  เส้นโค้งบนมุมขวามือ ...” “หนูใช้ความพยายามมากเลยในการตัดกระดาษให้เป็นสามเหลี่ยมอันเล็ก ๆ” “ครูสังเกตว่าเวลาหนูวางขนแปรงให้แบนบนกระดาษและลากเส้นลงมา เส้นที่ออกมาจะหนา” เป็นต้น  การที่ครูพูดถึงงานของเด็กในลักษณะนี้   เป็นการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษา  และแสดงให้เด็กเห็นว่าตัวครูมีความสนใจในกระบวนการทำงาน และให้คุณค่าต่องานของเขา  ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจในตนเอง  เชื่อมั่นในความสามารถและทักษะของตน

7. สนทนากับนักเรียน เรื่องการดูแลรักษา  การใช้อุปกรณ์   และกติกาในการปฏิบัติกิจกรรม  ในระยะเริ่มต้น  ก่อนที่จะทำกิจกรรม  ครูควรที่จะพูดคุยให้เหตุผลกับนักเรียนเกี่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์  เช่น  การที่จะให้นักเรียนทำการตัดแปะ  ครูอาจจะพูดและสาธิตให้นักเรียนดูว่า เมื่อใช้กรรไกรเสร็จแล้ว  ควรเก็บไว้ในตะกร้าเหมือนเดิม  หรือใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน เช่น ถ้าครูเห็นนักเรียนเหยียบกรรไกร  คุณครูควรอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมไม่ควรเหยียบ  และสอนให้นักเรียนรู้จักช่วยกันรักษาสมบัติของห้องเรียน

8. กำหนดเวลาให้เหมาะสม  กิจกรรมศิลปะควรจัดให้เป็นกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เด็กให้ความสนใจมาก และเป็นส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน และทักษะทางด้านต่าง ๆ  ซึ่งในการจัดกิจกรรม ครูควรตั้งเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรม  การที่ครูตั้งเวลาไว้น้อย และเร่งเด็กให้ทำงานเสร็จภายในเวลาอันสั้นนั้น สิ่งที่สื่อออกมา คือ  กระบวนการทำงานนั้นไม่สำคัญเท่าการทำให้เสร็จในเวลา  ดังนั้น   เด็กก็จะรีบทำงานให้  เสร็จ ๆ ไป และไม่ใส่ใจในการทำงาน  เป็นปกติที่เด็กแต่ละคนจะใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมแตกต่างกัน   ดังนั้นคุณครูควรมีความยืดหยุ่นในเวลา  ถ้านักเรียนทำงานไม่เสร็จ  คุณครูอาจจะให้เวลาเพิ่มเติม หรือให้เขาเก็บงานไว้ทำในวันต่อไป

9. ให้นักเรียนมีส่วนร่วม (Students’ Involvement) นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการจัดเตรียม และทำความสะอาด เช่น ช่วยหยิบและเก็บกระดาษ  และตะกร้าใส่ดินสอสี  หรือช่วยเช็ดโต๊ะ  เพื่อที่เขาจะได้รู้จักการช่วยเหลือตนเอง  และเข้าใจถึงหน้าที่และรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และห้องเรียน

ในการสอนศิลปะเด็กปฐมวัย ต้องจัดกิจกรรมให้เด็กอย่างหลากหลายรูปแบบ  เช่น

     - กิจกรรมวาดภาพระบายสี
     - กิจกรรมเล่นกับสีน้ำ  เช่น เป่าสี หยดสี พับสี ระบายสีด้วยนิ้วมือ ฝ่ามือ
     - กิจกรรมการพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและวัสดุต่าง ๆ
     - กิจกรรมการปั้น ขยำดินเหนียว ดินน้ำมัน แป้งโด กระดาษ ฯลฯ
     - กิจกรรมการพับ ฉีก ตัด ปะ
     - กิจกรรมการร้อย สาน และการออกแบบ
     - กิจกรรมการฝนสีด้วยกระดาษทราย
       ในการจัดกิจกรรม ครูสามารถส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เพิ่มจุดเชื่อมต่อของใยประสาท  โดยส่งเสริมให้เด็กสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตา การพัฒนาระบบกายสัมผัสโดยให้เด็กมีโอกาสสัมผัสรับรู้วัสดุที่มีผิวสัมผัสต่างกันในระหว่างทำกิจกรรมสร้างสรรค์  เช่น ผ้ากระสอบ ผ้าสักหลาด กำมะหยี่ กระดาษทราย กระดาษที่มีผิวสัมผัสต่างกัน  ฯลฯ

         ระหว่างทำกิจกรรมศิลปะ  ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม  เช่น แสงสว่างพอเหมาะ มีเสียงดนตรีเบา ๆ บรรยากาศผ่อนคลาย  ทำให้เกิดการเชื่อมโยงสมองส่วนประสาทสัมผัสกับสมองส่วนที่คุมกล้ามเนื้อพร้อม ๆ กัน การเชื่อมโยงสมองซีกซ้ายเข้ากับซีกขวาที่เป็นด้านจินตนาการ  ดังนั้น งานศิลปะจึงไม่ควรเป็นการลอกเลียนแบบหรือต้องทำให้เหมือนจริง รวมทั้งไม่เน้นความถูกต้องของสัดส่วน  แต่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เด็กสนุกสนาน ซึมซับความงามของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในผลงานของตน ควบคู่กับความสามารถถ่ายทอด

          ศิลปะกับความคิดสร้างสรรค์ นักจิตวิทยาทางการศึกษาทั่วโลกเชื่อกันว่าเด็กทุกคนมีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ และสามารถพัฒนาให้เจริญงอกงามได้ตามระดับความสามารถของแต่ละบุคคล ถ้า หากเด็กนั้นๆได้รับการเสริมและสนับสนุนให้มีการแสดงออกภายใต้ บรรยากาศที่มีเสรีภาพ สำหรับ เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ในตัว สามารถพิจารณาจากพฤติกรรมได้หลายด้านดังนี้

            1. การเป็นผู้กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา

            2. การเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆด้วยความคิดของตนเอง

             3. การเป็นผู้ชอบสำรวจตรวจสอบความคิดใหม่ ๆ

             4. การเป็นผู้เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง

             5. การเป็นผู้สอบสวนสิ่งต่างๆ

            6. การเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันดีต่อความงาม

       จะเห็นได้ว่าการสร้างสรรค์ คือการ เจริญงอกงามทั้งด้านความคิด ร่างกาย และ พฤติกรรม และศิลปะคือ เครื่องมือที่ดีและเหมาะสมที่สุดในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะ กระบวนการทางศิลปะไม่มีขอบเขตแห่งการสิ้นสุด สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้ตลอด เวลานอกจากนี้ยังช่วยให้เด็ก เกิดความคิดที่ต่อเนื่องอย่างไม่จบสิ้น และก้าวไปยังโลกแห่ง จินตนาการอย่างไม่มีขอบเขต

การวาดรูประบายสี เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งช่วยในการทำงานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะ รู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจำวันของเขา ภาพที่จะเห็นต่อไปนี้เป็นภาพ ที่วาดโดยเด็กปฐมวัยอายุ 3- 4 ขวบ เป็นภาพที่วาดตามความคิดและจินตนาการของเด็กเป็นอีก กิจกรรมหนึ่งซึ่งช่วยใน การทำงานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจำวันของเขา


                                       


การปั้น  การปั้นดินน้ำมันหรือ ดินเหนียว แป้งโด ฯลฯ มาปั้นเป็นรูปต่างๆตามจินตนาการของเด็กแต่ ละคนซึ่งจะแตกต่างกันไป เป็นการฝึกสมาธิ และพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆของเด็กเด็กจะได้เรียนรู้ รูปร่างต่างๆ

                                 

 

 การพับกระดาษ  เป็นกิจกรรมในการพัฒนาจิตใจและสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ทำให้เด็กเกิดความสนใจ และรู้สึกสนุกจึงทำซ้ำแล้วซ้ำอีก และเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างความเคลื่อนไหวของมือและการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างจากกระดาษที่พับ

 

                                     

 การฉีก-ปะกระดาษ    เป็นกิจกรรม ที่ช่วยส่งเสริม การใช้ทักษะมือ และนิ้วมือ ที่เราเรียกว่ากล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อส่วนนี้จะทำงานได้ดีต้องอาศัยการประสานสัมพันธ์ระหว่างตา กับมือด้วย


                                   

 

การเป่าสี คือการนำสีน้ำหรือสีโปสเตอร์ ผสมกับน้ำให้สีข้นพอสมควร โดยการหยดสีลงบนกระดาษ ใช้หลอดกาแฟจ่อปลายหลอดที่สี แล้วเป่าให้สีกระจาย จะได้ภาพสวยงามหลายหลากสี

                                                 

การประดิษฐ์เศษวัสดุ   เป็นการช่วยส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่าการประยุกต์ให้เศษวัสดุใกล้ตัว ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เกิดความภาคภูมิใจต่อผลงานของตนเอง ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำ มีส่วนร่วมทั้งความคิด จิตใจ สมอง เกิดความประทับใจ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ จะทำให้เด็กค่อยๆ เกิดความคิด สร้างจินตนาการ นำไปสู่การคิดค้น การแก้ปัญหาและสร้างสรรค์งานใหม่ได้

ประเมิน

ตนเอง  ฉันตั้งใจฟังอาจารย์และร่วมทำกิจกรรมด้วยความเต็มใจ

อาจารย์  ถ่ายทอดวิชาความรู้ได้ดี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่ 14

  วันที่16/11/63 วันนี้อาจารย์ได้บอกแนวข้อสอบให้นักศึกษา และให้นักศึกษาเขียนวัตถุประสงค์ของแผนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนกิจกรรมเสริมประสบการณ์ กิ...